
วันนี้เราได้โอกาสสุดพิเศษ สัมภาษณ์คุยกับ มร.แซม อีเบิร์ท Product Manager ของ Cannondale ผู้เชี่ยวชาญด้านเสือหมอบ ทำหน้าที่คุมโครงการพัฒนา SuperSIX EVO 2020 ที่จะมาเล่าให้เราฟังถึงเนื้อหา เรื่องราวต่างๆที่ไม่เฉพาะแฟน ‘เดล จะสนใจ แต่มันคือก้าวเดินกว่าจะมาเป็นจักรยานเสือหมอบรถ่นท็อปสักคันที่มีอะไรมากกว่าที่คุณคิด
อะไรพาคุณมาร่วมงานกับ Cannondale
เสือภูเขาคันแรกของผมคือ Cannondale ในช่วงเวลาที่ผมเริ่มปั่นจักรยาน แบรนด์นี้กำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่งมาก และเป็นแบรนด์ที่ก้าวกระโดดด้านวิศวกรรมและการออกแบบมาโดยตลอด แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆที่พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ไปได้ในตลาดจนอาจน่าเบื่อ แต่สำหรับ Cannondale บางครั้งแบรนด์นี้กล้าที่จะผลักดันแนวคิดของตนเองออกมามากกว่าตามตลาดด้วยแนวคิดหลักคือ วิศวกรรมที่ดีต้องมาก่อนการตลาด จนบางครั้งก็มีจักรยานที่คนมองว่าเพี้ยนๆออกมา แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ Cannondale มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมจักรยาน ผมจึงอยากมีส่วนร่วมงานกับที่นี่
คุณมีความผูกพันกับจักยานมาก่อนหรือไม่
ผมโตมาจากรัฐเพนซิลวาเนีย และ ฟิลาเดเฟีย ผมขี่จักรยานไปทุกๆที่ ทั้งในเมือง ออกไปชานเมือง ผมใช้จักรยานฟิกซ์เกียร์ และเริ่มขี่เสือหมอบหลังจากนั้น ผมไม่ได้ปั่นจักรยานแค่การออกกำลังกายแต่ผมปั่นจักรยานในชีวิตประจำวันไปที่ต่างๆในเมืองด้วย ผมขี่เสือภูเขาเข้าป่าลงแทร็คและทำการแข่งขันเสือภูเขาอย่างจริงจังหลังจบวิทยาลัย ประสบความสำเร็จในประเภทครอสคันทรี ทำงานเป็นช่างจักรยานในร้านจักรยาน และทำงานเป็นช่างตัดเฟรมจักรยาน สร้างเฟรมไทเทเนียนสั่งตัดมาก่อน
อะไรคือหน้าที่หลักของ Product Manager
หน้าที่ของเราค่อนข้างเฉพาะทางมาก เราสร้างแนวคิดทางการออกแบบให้กับจักรยานในอนาคต นอกจากดูแนวโน้มทางการตลาด เรายังศึกษาจักรยานคู่แข่งทั้งหมด เพื่อจะวางออกมาเป็นแนวทางภาพในอากาศว่า จักรยานตัวต่อไปที่เราจะทำต้องเป็นอย่างไร ตลอดจนมองหาความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมอื่นๆที่มีผลต่อการพัฒนาของจักรยาน และมันช่วยให้เราออกแบบจักรยานใหม่ๆได้ชัดเจนขึ้น เช่นการศึกษาพฤติกรรมคนที่ชอบตั้งแตมป์เข้าป่า เราก็สร้าง TopStone เสือหมอบที่สามารถลุยเข้าป่าและทางกรวดได้ออกมา เมื่อได้แนวคิดออกมาแล้ว เราทำงานร่วมกับวิศวกร และ นักออกแบบ คุมให้จักรยานออกมาตามแนวทางที่เราวางเอาไว้ จนถึงการวางราคา เลือกรูปแบบการตลาด และวิธีการขาย งานของเราคือการทำตั้งแต่เริ่มจาศูนย์ไปจนถึงมือคนขี่
SuperSIX EVO 2020 เริ่มโครงการเมื่อไหร่
ผมไม่คิดว่าผมสามารถเปิดเผยได้ (หัวเราะ) … พวกเราก็เหมือนกับค่ายจักรยานอื่นๆที่ทันที่เมื่อรุ่น SuperSIX EVO 2016 ออกจำหน่าย พวกเราก็ทำการเก็บข้อมุลและเริ่มคิดถึงรุ่นต่อไป ถึงเราจะยังไม่ได้เริ่มเขียนหรือวาดภาพมันออกมา แต่ทีมงานเริ่มพูดคุยกันถึงแนวทางที่รุ่นต่อไปจะเป็นได้และควรเป็น เพราะตลาดขยับตลอดเวลา นักปั่นมีความต้องการใหม่ๆเสมอ เราหยุดคิดไม่ได้ ตอนนี้เราก็เริ่มคิดวางแผนสำหรับ SuperSIX EVO รุ่นต่อไปแล้ว จากการเก็บข้อมุลของคนขี่ และการรีวิวรถต่างๆของสื่อ ไม่เฉพาะ Cannondale เรายังไม่ตัดสินใจว่ารถต่อไปจะออก 2024 หรือไม่ แต่เริ่มแล้วตอนนี้
บางครั้งเราต้องมีเวลา 5 ปี บางครั้ง 3 ปี ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของนักปั่นว่าเรามีเวลาในการทำงานแค่ไหน เป้าหมายของเราคือการสร้างวิศวกรรมและจักรยานที่เหมาะสมกับนักปั่นที่สุด เราไม่เน้นที่การออกจักรยานใหม่ๆทุกๆกรอบเวลาซึ่งมันอาจจะเร็วเกินไปสำหรับตาด หรือ ช้าเกินไปสำหรับเทคโนโลยีต่างๆ แต่เราปรับทุกขั้นตอนตามสภาพความต้องการของคนขี่
ถอยกลับไป 2016 อะไรคือภาพแรกที่คุณอยากให้ SuperSIX EVO ตัวปัจจุบันเป็นที่สุด
ตอนเราออก SystemSIX เสือหมอบแอโร่ฯของเรา มันเป็นนวัตกรรมสำหรับเราและได้รับการทดสอบด้วยสื่อเป็นกลางว่าเร็วที่สุด ใช้องศาเดียวกับ SuperSIX รุ่นก่อนนี้ ซึ่งเหมาะกับท่าขี่ที่ดุดันมาก ช่วงเื้อมยาว ช่วงก้มต่ำ เราตัดสินใจว่าเราจะไม่ออกแบบรถองศาแบบนั้นอีกแล้ว เราจึงออกแบบ SuperSIX ใหม่ให้มีช่วงเอื้อมสั้นลงและก้มน้อยกว่าเดิม เป็นความลงตัวระหว่างการแข่งใน ตูร์ เดอ ฟร็องซ์ และสามารถฟิตกับคนทั่วไปได้พอดีมากขึ้น ทุกคนจะมีจักรยานที่เหมาะสมกับตัวเองได้ง่ายขึ้น นักปั่นโปรในทีม EF Education First สามารถนำรถใหม่เราไปเซ็ทใช้ได้อย่างไม่มีปัญหา ในขณะเดียวกันคนปั่นทั่วไปที่ไม่ได้แข่งมากขนาดนั้นก็มีสิทธิที่จะขี่จักรยานที่ดีได้และฟิตกับเขาได้โดยไม่ต้องปรับแต่งมากเช่นกัน พวกเขาไม่ต้องรองแหวนหลายๆชั้นเพื่อให้ขี่ได้ ทุกคนสามารถขี่และมีจักรยานที่สวยและดี
เรายังจำได้ว่าวันหนึ่งเราเคยเป็นมือใหม่ที่เพิ่งมาปั่นจักรยาน และนี่คือหัวใจที่เราไม่เคยลืม แม้เราจะทำรถให้กับโปรแข่งขันแต่มันต้องเอื้อสำหรับคนที่สนใจจะเข้ามาปั่นจักรยานมากขึ้นกว่าแต่ก่อน สามารถสนุก และรักกับจักรยานได้ เป็นการเติบโตอย่างยั่งยืนของจักรยานในอนาคต
อะไรคือสิ่งที่ท้าทายที่สุดที่คุณจำได้ในการพัฒนา SuperSIX
สิ่งที่ยากที่สุดคือการทำให้เสือหมอบแอโร่ฯ และมีน้ำหนักเบามากๆไปคุ่กัน ในการแข่งจักรยานมีน้ำหนักระบุว่าห้ามเบากว่า 6.8 กก. เราต้องทำจักรยานที่ใช้แข่งในพิกัดน้ำหนักนั้นให้ได้โดยที่ยังแอโร่ฯด้วย อันที่จริงเราสามารถทำให้เบากว่านี้ได้ Adam Yates นักปั่นทีมเรา มีจักรยานดิสค์เบรคหนัก 6.66 กก. ต้องถ่วงน้ำหนักเพิ่มเพื่อลงแข่ง น้ำหนักเบาๆอาจรู้สึกดีตอนยกมันขึ้นมาแต่มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องของความเร็วเลย ความเร็วในการแข่งคือเรื่องของแอโรไดนามิคส์ เราจ้างวิศวกรที่เชี่ยวชาญด้านอากาศพลศาสตร์และอากาศยานระดับสูง มาช่วยพวกเราสร้างุปทรงที่ดกงอากาศได้มากที่สุด ผสมผสาน กับนักออกแบบที่ช่วยสร้างรูปร่างโดยรวมของจัรกยาน และวิศวกรวัสดุ ที่เข้ามาทำให้มันเป้นจริงได้ในที่สุด
คุณรู้สึกอย่างไรบ้างที่เห้นจักรยานของคุณชนะการแข่งแกรนด์ทัวร์ได้
มันสุดยอดมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เราได้พบกับนักแข่งเหล่านั้นและชื่นชอบความรู้สึกในการขี่จักรยานของเรา ชอบการควบคุมจักรยานของเรา และมันพิสูจน์ว่าจักรยานของเราอยู่ในเวทีการแข่งระดับสุงขนาดนั้นได้ ถ้าคุณรู้ว่าพวกเขา (นักปั่น) มีความสามารถร่างกายเหนือมนุษย์ขนาดไหน จักรยานที่ทำให้พวกเขาใช้ ก็ต้องรองรับพวกเขาได้เช่นกัน
ทำไมหน้าตาของจักรยานยุคนี้เหมือนกันไปหมด
อย่างที่ผมอธิบายว่าความยากในการผสมผสานสมรรถนะเข้าด้วยกันคือสิ่งที่ท้าทายที่สุด ธรรมชาติมีกฏตายตัวของมันอยู่เรือ่งรูปร่าง รูปทรง ยกตัวอย่างปลาแลามที่มีหน้าตาแบบนี้มาตั้งแต่หลายล้านปีก่อนและยังคงเหมือนเดิม เพราะรูปร่างนั้นเป็นที่สมบูรณ์แบบแล้วมันจึงไม่เปลี่ยนไปอีก อากาศที่เราต้องฝ่าไปก็เช่นกัน เมื่อจักรยานทุกยี่ห้อต่างก็มองหาทางออกเดียวกัน จักรยานจึงออกมาไม่ต่างกันมาก จริงๆมันเป็นสัญลักษณ์ที่ดีที่พวกเรากำลังมาถูกทาง ความยากของแบรนด์คือการสร้างจักรยานที่มีเอกลักษณ์แม้จะดูคล้ายๆกัน เป็นงานที่ยากสำหรับนักออกแบบมากๆ เรารู้ว่าจักรยานที่เร็วและดีต้องหน้าตาอย่างไร แต่นักออกแบบต้องทำให้ Cannondal ดูและมีเอกลักษณ์ของตัวเอง โดยไม่ต้องเห็นสี กราฟฟิค หรือโลโก
จริงๆแล้วท่อนอน ยังคงเป้นพื้นที่ที่เรายังสร้างเอกลักษณ์ทางด้านสมรรถนะและรูปลักษณ์ได้อยู่ เพราะมันไม่ได้ถูกกระทบด้วยแอโร่ฯมากนัก เราจึงเห้นได้ว่า Cannondale, Trek และ Specialized ต่างก็ออกแบบจักรยานที่มีท่อนอนแตกต่างกัน
ย้อนกลับไปสมัย 1970 ทุกๆแบรนด์ทำจักรยานให้เบาจากวัสดุเหล็กซึ่งก็มีหลากหลายวิธีแต่ก็ยังมีหน้าตาที่เหมือนกัน ในเรื่องของวิศวกรรม การผลิต และการขึ้นรูป รวมถึงความรู้ในยุคนั้นด้วย พวกเขาไม่ได้มองความจำเป็นเรื่องความสบายและไม่ได้คิดว่าจักรยานต้องขี่สบาย ขี่จักรยานล้อขนาด 700x19c กับล้ออัลลอยที่แข็งกระด้างมากๆเพราะต้องการน้ำหนักเบาๆ แต่ต่อมาเรารู้ว่า จักรยานที่ขี่สบายทำให้คนปั่นมีกำลังและร่างกายที่แข่งขันได้ดีกว่า เรารู้ว่าจักรยานที่เกาะถนนได้ดีจากแรงสะเทือนที่น้อยจะทำความเร็วได้ดีกว่า เมื่อความรู้เปลี่ยน และเทคโนโลยีมาถึง การออกแบบจึงแตกต่างออกไป จนถึงปัจจุบันที่จักรยานกลับมาเหมือนกันเพราะทุกๆคนมองหาปลายทางเดียวกัน และธรรมชาติเป็นตัวบังคับเอาไว้ นอกจากนั้นเรายังมีกฏที่เหนือธรรมชาติอย่างกฏของ UCI ที่บังคับการออกแบบจักรยานเอาไว้ ดังนั้น จักรยานจึงออกมาหน้าตาไม่แตกต่างกันมาก เพราะกฏนั้น กระทบอย่างยิ่งสำหรับการออกแบบจักรยาน หากไม่มีกฏข้อนั้น จักรยานก็จะแตกต่างกันอย่างมากอีกครั้งหนึ่ง
อะไรคือสิ่งที่แตกต่างของจักรยานที่เหมือนๆกันในเวลานี้
ประสบการณ์ที่แตกต่างกันคือสิ่งที่แยกจักรยานในเวลานี้ แม้ว่าจะมีหน้าตาที่คล้ายๆกันจากการออกแบบที่ถึงจุดสูงสุด แต่ไม่มีคันไหนที่รู้สึกเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายละเอียดเช่น การออกแบบเมาท์ยึดไมล์ที่แฮนด์ การเก็บจุดเชื่อมต่อของเกียร์ไฟฟ้าในท่อล่างที่สามารถเปิดเช็คหรือปรับได้ไม่ยาก กับการใช้แกนสอดปลดเร็วที่พวกเราใช้ ทั้งหมดนี้ช่วยให้จักรยานของเรามีประสบการณ์ที่แตกต่าง มันอาจเป็นเรื่องเล็กๆสำหรับบางคน แต่ถ้าเทียบแล้วการถอดล้อที่เร็วกว่ากันสองเท่านั้น เป็นจุดแตกต่างที่ทำให้นักแข่งหรือคนที่ครอบครอง Cannondale สัมผัสได้ โดยที่ไม่ต้องไปยุ่งกับหน้าตาของจักรยาน และสะท้อนถึงความเป็น Cannondale ที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ในรายละเอียดมากกว่าด้านอื่น
สำหรับบางแบนด์ที่ออกแบบจักรยานมาด้วยองศาเดียวกับโปรฯ คนที่ซื้อไปก็ต้องไปรองแหวน ไปปรับรถ หรือ ไม่สามารถเอามันออกไปขี่ระยะทางไกลขึ้นได้เพราะร่างกายปรับตัวไม่ไหวกับท่าขี่นั้น สุดท้าย ก็เป็นประสบการณ์ที่ไม่ดีกับจักรยาน ในขณะที่ SuperSIX เน้นไปที่ประสบการณ์ที่คุณจะได้รับและไม่เหมือนใครมากกว่าหน้าตาที่ไม่เหมือนใคร เพียงแค่เอาจักรยาน SuperSIX มาจอดคู่กับแบรนด์คู่แข่งที่ไม่ได้ทำองศามาเผื่อคนทั่วไป สิ่งที่จะแตกต่างที่เฟรมอาจแทบไม่มี แต่เมื่อดูรายละเอียดคันหนึ่งต้องรองแหวน 40 มม. ในขณะที่ SuperSIX รองแหวนเพียง 10 มม. และมีสัดส่วนที่สวยงามกว่า นี่ก็คือความต่างที่เกิดขึ้น
ในสายตาของคุณอะไรคืออนาคตของเสือหมอบโลกในตอนนี้
ยุคต่อไปของเสือหมอบ โดยเฉพาะในกลุ่มเสือหมอบแข่งขัน จะยิ่งเบากว่าเดิม สติฟฟ์กว่าเดิม และแอโร่ฯยิ่งกว่าเดิม แต่จะมีเสือหมอบที่ออกมาเพื่อกลุ่มคนที่ต้องการปั่นจักรยานเพื่อสุขภาพมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องมาใส่สมรรถนะให้เท่ากับเสือหมอบแข่งขัน คนที่ต้องการปั่นออกกำลังกาย ให้สุขภาพดี เผาผลาญพลังงาน และเป็นไลฟ์สไตล์เพื่อสุขภาพ พวกเขาไม่ได้ต้องการเสือหมอบแข่งขัน แต่ต้องการเสือหมอบของพวกเขา นี่คือสิ่งที่จะมาในยุคต่อไป เพราะโลกกำลังเดินต่อไปในแนวทางเพื่อสุขภาพมากขึ้น เราต้องมาคิดว่า อะไรคือสิ่งที่พวกเขาต้องการ อะไรที่เราสามารถใส่เข้าไปได้ในจักรยานแบบนั้น เพื่อให้พวกเขาได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดในแบบของพวกเขา
SuperSIX EVO 2020 ยังมี่สวนไหนที่คุณอยากเปลี่ยนหรือไม่
…(คิดนานมาก และมองไปรอบๆจักรยานอย่างเคร่งเครียด)…เ)็นคำถามที่ยากมาก เพราะผมคิดว่ามันจัดว่าสมบูรณ์แบบแล้วในตอนนี้ ถ้าผมเลือกได้ ผมขอเลือกให้เราสามารถผลิตมันออกมาได้แบบไม่มีราคา เพื่อแจกให้คนได้ขี่ฟรีๆ (หัวเราะ) คำถามนี้ผมไม่น่าจะเปิดเผยได้เช่นกัน แต่สำหรับมุมมองของผม จักรยานไม่ใช่แค่อุปกรณ์เพื่อการกีฬาเท่านั้น มันคือไลฟ์สไตล์ที่ดี ดีต่อตนเองและสิ่งแวดล้อม ชวยการคมนาคมที่ดีในเมืองต่างๆทั่วโลก ผมแค่อยากให้มีคนได้ขี่มันมากขึ้น