ถ้านิยามของปีหน้าคือเสือหมอบเบาๆ ที่สามารถใส่ความแอโรไดนามิคส์ลงไปจนได้ชื่อว่า “ออลราวด์” อย่างที่เราเห็นมาตลอดปี 2020 กับการไล่เปิดตัวจักรยานใหม่เรียงต่อกันอย่างถี่ยิบ คราวนี้ Factor มากับอีกด้านของแนวความคิดว่า ถ้าเขาสามารถทำเสือหมอบแอโรไดนามิคส์ ที่เบาเท่ากับจักรยานไต่เขาได้แล้ว อะไรจะเกิดขึ้น ดังนั้น หลังจากที่ One และ O2 ได้รับการยอมรับไปแล้ว สร้างนิยามของ Factor ในความรับรู้ของนักปั่นว่านี่คือแบรนด์ใหม่ที่มากด้วยแนวคิดล้ำหน้า คราวนี้ ก็ถึงคิวรหัส Ostro ซึ่งนำมาเสนอให้คุณได้พรีวิวกันในวันนี้

เริ่มต้นผมไม่ขออ้อมค้อมนะครับ สำหรับคนอ่านที่อยากรู้ให้ห่ายคาใจว่า ที่บอกว่า เบานั้น เบาขนาดไหน Factor Ostro ขนาดเฟรมไซส์ 54 มีน้ำหนักเคลมพร้อมทำสีและอุปกรณ์การประกอบ 780 กรัม (เฟรมสำเร็จพร้อมประกอบ) ซึ่งกุญแจสำคัญคือการใช้ความเชี่ยวชาญของ Factor ในเรื่องของวัสดุและกระบวนการผลิตคาร์บอน มาใส่เอาไว้อย่างเต็มที่ พร้อมกับการ R&D ที่เข้มข้น ทำให้พวกเขามั่นใจว่า Ostro จะกลายเป็นเสือหมอบแอโรฯ ที่ทำน้ำหนักได้เท่ากับเสือหมอบออลราวด์ยุคใหม่อย่างแน่นอน โดยเลือกใช้รูปทรงท่อล่างที่พวกเขาเรียกว่า NACA ซึ่งเหมือนกับใน O2 VAM ที่ให้ความสมดุลย์ระหว่าง รูปทรงที่แอโร่ฯ โดยที่สามารถทำน้ำหนักเบาได้ดีมากที่สุด เมื่อประกอบเต็มคันแล้ว Ostro ที่เป็นเสือหมอบแอโร่ฯ ดิสค์เบรค ใส่กับล้อขอบสูง Black Inc FOURTY FIBE ที่เพิ่งออกมาใหม่ (ซึ่งเราจะเจาะลึกกันอีกทีนะครับ) พร้อมระบบเกียร์ไฟฟ้า มีน้ำหนักราว 6.6 กก. หรือถ้าใส่พาวเวอร์มิเตอร์เข้าไป ก็จะได้น้ำหนักทั้งคันที่ 6.8 กก. ตามกติกาของ UCI พอดี นี่จึงเป็นน้ำหนักที่ Ostro พัฒนามาเป็นเป้าหมายเพื่อให้ทีมแข่งนำไปใช้ในการแข่งขันได้อย่างไม่ต้องกังวลบนภูเขาเลย

NACA หรือ องค์กรที่เป็นบิ๊กเนมในวงการแอโรไดนามิคส์ เป็นต้นกำเนิดของรูปทรงท่อที่ Ostro นำมาใช้ในการออกแบบเพื่อให้ได้ความแอโร่ฯที่มากที่สุด จากอากาศที่สามารถไหลผ่านไปได้โดยเกิดแรงฉุดน้อยกว่ารูปทรงแบบอื่นๆ แถมยังมีความแข็งแรงในตัวมันเองมากกว่ารูปทรงแอโรฯแบบเดิมๆที่ใช้กันมา นอกจากนี้ ตั้งแต่ตะเกียบ ชุดค็อกพิท และท่อคอ ที่ออกแบบมาทั้งหมด ไม่เพียงแต่ละจุดที่มีความแอโร่ฯมากที่สุดด้วยรูปทรงของมันเองเท่านั้น นักออกแบบยังควบคุมให้อากาศไหลต่อเนื่องจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งอย่างราบเรียบที่สุด ซึ่งทุกๆรายละเอียดทั้งหมดที่รวมกัน Ostro จึงเป็นเสือหมอบแอโร่ฯ ที่อยู่ในมาตรฐานความแอโร่ฯของยุคนี้แบบไม่ต้องกังขา ใช้งานที่ความเร็วสูงบนทางราบ หรือรักษาความเร็วได้ดีเมื่อแหวกอากาศไปข้างหน้าในแบบที่เสือหมอบแบบออลราวด์ไม่สามารถทำได้

ในด้านความสบาย เนื่องจาก Factor ออกแบบ Ostro มาให้เป็นเสือหมอบคันเดียวที่ทีมโปรจะใช้แข่งในทุกๆรายการ ใช่ครับ ฟังไม่ผิดเลยครับ นี่คือเสือหมอบคันเดียวที่ต้องใช้ในทุกรายการ ทั้งทางราบที่สปรินท์เตอร์เลือกใช้ หรือการไต่เขาที่นักไต่เขาต้องการ ซึ่งขาดไม่ได้เลยคือ ความสบายที่สามารถใช้แข่งรายการคลาสสิคทางยาวๆ วิ่งไปบนถนนหินอันขรุขระกระเด้งกระดอนได้ดีอีกด้วย ดังนั้น Ostro จึงถูกพัฒนามาให้เฟรมช่วงหลังสามารถสลายแรงสะเทือนจากถนนได้ด้วยการเลือกใช้คาร์บอนในแต่ละชิ้นอย่างละเอียด ทำให้เฟรมมีการบิดตัวได้ในแนวตั้งเพื่อลดแรงสะเทือนเหล่านั้น และมุ่งเน้นที่จุดรอยต่อพบกันของตะเกียบท่อนั่งกับท่อนั่ง ที่แรงสะเทือนจะวิ่งขึ้นมายังผู้ขี่ แถมรองรับยางหน้ากว้างถึง 32 มม. เพื่อความสบายในทุกเส้นทางอย่างที่สุด

 

ติดตามพรีวิวแบบละเอียดพร้อมตัวจริงที่จะเข้ามาไทยในช่วงตุลาคมนี้นะครับ รับรองว่าจะจับกระแสพาไปดูกันให้ถึงทุกซอกทุกมุมของสุดยอดเทคโนโลยีการออกแบบของ Factor กันเลยทีเดียว

ราคาเปิดตัวพร้อมกันทั่วโลก พร้อมราคาจำหน่ายในประเทศไทยก็ได้ออกมาแล้ว

Factor Ostro เฟรมเซ็ท (ดิสค์เบรคและเกียร์ไฟฟ้าเท่านั้น) ราคาเต็ม 199,000 บาท

Factor Ostro Sram Red AXS สำเร็จทั้งคัน 365,000 บาท

Tag :: Factor
September 7, 2020 cyclinghub 0 Comment