ในที่สุด เมื่อสิ้นสุดเสตจที่ 6 เจ้าหน้าที่ทีม UAE Team Emirates ก็ได้เฮกันสนั่นเมื่อ แดน มาร์ติน  นักปั่นของพวกเขา สามารถคว้าชัยในเสตจนีร้มาได้สำเร็จ ถือเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่บนการแข่งแกรนด์ทัวร์สำคัญของปีรายการนี้ เนื่องจาก ในทุกๆเสตจ จะมีนักแข่งระดับชั้นนำของโลก ทีมชั้นนำของโลกมากมายต้องการคว้าเกียรติยศสำคัญนี้หใ้ได้ ทุกวินาทีและทุกจังหวะถือว่าสำคัญและเปลี่ยนแปลงระหว่างความสำเร็จและล้มเหลวของผลการแข่งขันได้

แดนเนียล มาร์ติน หรือ “แดน มาร์ติน” นักปั่นที่ไต่เขาได้ดี ระเบิดเนินได้แข็งแกร่ง ใช้จุดเด่นของตนเข้ามาคว้าเสตจนี้ไปได้สำเร็จ แม้ว่าเขาอาจไม่ใช่เป้าสำคัญของกูรูที่มองว่าใครคือคนที่จะคว้าชัยในวันนี้ แต่ประสบการณ์ยาวนานของเขาตั้งแต่ร่วมทีมอาชีพมา ในที่สุดความเก๋า บวกกับความคมก็ช่วยให้เขาคว้าเสตจของ ตูร์ เดอ ฟร็องซ์ ได้เป็นครั้งที่สอง นับจากครั้งแรกเมื่อปี 2013  และเป็นเสตจของแกรนด์ทัวร์ที่ 3 ที่เขาได้มาครอง ไม่นับการแข่งรายการอื่นๆ และรายการคลาสสิคอีกหลายรายการ รวมถึง ลิเยจ์-บัสตอง-ลิเยจ์

จักรยานที่เขาใช้ในวันนี้คือ Colnago V2-r เสือหมอบแบรนด์ที่หลายคนมองว่าเป็นจักรยานคนแก่ เอาไว้สำหรับขี่กินลมชมวิว แต่ด้วยสายพันธุ์ของการแข่งขันที่ฝังอยู่ในทุกอณูของแบรนด์นี้ตั้งแต่กำเนิด ทำให้ในที่สุด โลกก็ได้เห็นรถยี่ห้อนี้ สำแดงฤทธิ์เดชออกมาอีกครั้ง V2-r อาจไม่ใช่รุที่เบาหวิว ไต่เขาปลิวราวโดนลมหอบ หรือแอโร่ฯสุดขีดบนทางราบที่วิ่งฉิวเหมือนไร้ซึ่งมวลอากาศ แต่มันคือรถที่ถูกสร้างมาเพื่อความสมดุลย์ในทุกส่วน มีความแอโร่ฯ เพื่อการใช้งานความเร็วสูง น้ำหนักที่ถือว่าสมเหตุสมผล และแน่นอน ความสบายที่สามารถใช้งานได้ในทุกสถานการณ์ นี่คือส่วนผสมของวิทยาการล่าสุดของ Colnago  หลังจากที่พวกเขาเริ่มเปลี่ยนวิธีคิด เปิดรับเอาความคิดยุคใหม่ๆของนักออกแบบและวิศวกรรมใหม่ๆที่ร่วมมือศึกษามากับค่ายรถแข่งอย่าง Ferrari  สะท้อนออกมาตั้งแต่การกำเนิดของ V1-r มาจนถึง Concept เสือหมอบแอโร่ฯเต็มตัวของ Colnago และแน่นอน C64 เสือหมอบที่น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ควรค่าแก่การสะสม

V2-r ,มีน้ำหนักและรูปทรงไม่ได้แตกต่างจาก V1-r มากนัก สิ่งที่ต่างอย่างชัดเจนคือความสติฟฟ์ของเฟรมที่มากึ้นในขณะที่น้ำหนักเท่าเดิม ช่วงหลักอานและท่อนั่งที่ออกแบบใหม่ให้เรียบร้อยขึ้น เฟรมยังคงเป็นเทคโนโลยีโมโนค็อกเพื่อความมั่นคงในการส่งกำลัง แต่รูปทรงของท่อนั่งและหลักอานช่วยทั้งเรื่องของอากาศพลศาสตร์และการให้ตัวได้ในแนวหน้า-+หลัง ลดแรงสะเทือนจากถนนที่มายังผู้ปั่น น้ำหนักเฟรมเปล่าที่ประมาณ 840 กรัม(ไซส์ 52) แม้จะไม่จัดว่าเบามาก แต่เทียบกับสิ่งที่ใส่เข้ามาในเฟรมถือว่าทำน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ที่มีดุลยภาพมากที่สุดคันหนึ่งในโปรทัวร์ สิ่งสำคัญที่สุดของเฟรม Colnago นี้น่าจะเป็นองศาการปั่นที่ออกแบบมาได้ลงตัว ไม่ดุดันจนเกินไป นักปั่นและคนทั่วไปเซ็ทรถได้ง่าย ในขณะที่ไม่ทือ จนนิ่งไร้ชีวิจชีวา องศาของท่อคอและตะเกียบ ช่วยให้คุมรถได้ง่ายและว่องไว ในขณะที่มีเสถียรภาพในการวิ่ง เป็นผลพวงจากการบ่มศึกษาและพัฒนามาอย่างนานปีของแบรนด์อิตาลีแบรนด์นี้ (ซึ่งนี่คือจุดแข็งของรถอิตาลีเกือบทุกแบรนด์ก็ว่าได้)

สิ่งที่น่าสนใจมากๆในรถของ แดน มาร์ติน อยู่ที่ชุดเสต็มโอเวอร์ไซส์พิเศษจาก Deda ของเขา เพราะเปลี่ยนมาใช้ขนาด 35 มม. แทนที่ไซส์ปกติ คาดว่าเพื่อให้แฮนด์มีความสติฟฟ์มากขึ้นในขณะที่น้ำหนักเท่าเดิม ติดตั้งมากับพาวเวอร์มิเตอร์ Poer2max และบันไดของ Look ร่วมกับชุดขับเคลื่อนและล้อจาก Campagnolo

 

นักปั่นใหม่ๆอาจไม่คุ้นกับภาพแบบนี้ แต่วินาทีแบบนี้ น่าจะพิสุจน์ให้เข้าใจได้ว่า แบรนด์หรูหรานี้ ไม่ใช่รถคนแก่เอาไว้ขี่สวยไปสอยสาวเท่านั้น แต่มันคือหนึ่งในอาวุธหนักที่กระทืบเร่งได้อย่างดิบดุดันไม่แพ้แบรนด์วัยรุ่นแม้แต่น้อย

https://www.youtube.com/watch?v=YZC1MysVv5c

 

July 13, 2018 cyclinghub 0 Comment