ย้อนกลับไปเมื่อปี 2016 ช่วงนั้นเราได้มีโอกาสพูดคุยกับเจ้าหน้าที่จากค่ายชุดขับเคลื่อนยี่ห้อดังอย่าง Shimano และได้รับข่าวแบบไม่เป็นทางการซึ่งขณะนั้นคงไม่สามารถเปิดเผยได้ว่า ย้อนกลับไปหลายๆปีก่อนหน้านั้น พวกเขาได้รับข้อมูลเชิงลึกว่า ในเวลาที่โลกนี้ยังมีเฟืองเสือหมอบเพียง 9-10 เฟืองอยู่นั้น ค่ายญี่ปุ่นค่ายนี้ได้ทำการทดสอบเพื่อพัฒนาระบบเฟือง 13 ชั้นเอาไว้เรียบร้อยแล้ว  ซึ่งนั่นเองทำให้เรามั่นใตได้ว่า สงครามจำนวนเฟืองยังจะไม่จบลงง่ายๆอย่างแน่นอน ย้อนกลับไปเมื่อยุคสมัย 8-9 เฟือง คนส่วนมากไม่เชื่อว่าเราจะสามารถก้าวข้ามจาก 9 เฟือง มาเป็น 10 เฟืองได้ เพราะดซ่จะบางมาก เฟืองจะบางมาก ฟันที่จานหน้าจะบางจนเกิดการหักได้ในการใช้งานระดับโปรฯที่มีแรงบิดสุง แต่สุดท้ายแล้ว 10 เฟืองก็มาถึงในที่สุด ซึ่งในระยะแรก ตลาดและกูรู ต่างพากันไม่เชื่อว่ามันจะใช้งานได้จริง มันคือการเกทับกันเพื่อดึงความสนใจเท่านั้น เพราะ 9 เฟืองก็เหลือเฟือแล้ว

แต่แล้วในเวลาต่อมา ก้าวสู่ยุคไฟฟ้าอย่างเต็มตัว จนทำให้ค่าย Campagnolo มาทุ่มทับด้วยเฟือง 11 ชั้น ที่ตลาดก็ต่างมองกันว่าไม่จำเป็นและไม่ได้มีอะไรให้ว้าวอีกต่อไป  ในครั้งนี้ ทุกคนคาดการณ์เอาไว้ได้ไม่ยากว่า ไม่นาน Shimano ก็จะขยับขึ้นมาเล่นด้วยในตลาดเฟือง 11  รวมถึง Sram เองก็ขยับอย่างรวดเร็วเ่นกัน ราวกับว่าพวกเขารู้อยู่แล้วว่านี่คือไม้ตายเดิมๆของค่ายเกียร์จากอิตาลี ที่น่าจะยังไม่พร้อมรบในสงครามไฟฟ้าอย่างเต็มตัว ดังนั้นเมื่อพบกับการตีหัวชุดใหญ่ของ Di2 ทั้งในระดับขหัส 9xxx และ 8xxx ร่วมกับ eTap ชุดขับไร้สายจาก Sram ที่รวมพลังกันเล่นเอา Campagnolo ถึงกับจุกพูดไม่ออก แต่กระนั้น พวกเขายังปล่อยหมัดเด็ดที่เราคุ้นเคยออกมาด้วยชุดขับเคลื่อนเสือหมอบ 12 เฟือง จากนี้เราก็จะต้องมาจับตามองว่า เมื่อไหร่ และใคร จะเป็นฝ่ายตามเกมส์”เฟืองโหล” นี้เป็นรายต่อไป จะเป็น Sram ก้าวเข้ามาจัดหนักด้วยไลน์เฟืองโหลครบตั้งแต่หัวลงมาทั้ง Red และ Force หรือจะเป็น Shimano ที่จะส่งเอา Dura Ace โหลออกมา ทั้งๆที่ DA 91xx ก็เพิ่งออกมาไม่นาน แต่ก็น่าจะค่อนข้างมั่นใจได้ว่า Dura Ace 9200 น่าจะมากับเฟือง 12 ชั้นอย่างแน่นอน รวมถึง Ultegra 8100 ด้วย

 

ไม่นานมานี้ไบค์เรดาร์ ได้เผยแพร่บทความที่คล้ายคลึงกับข่าวที่ HUB เองก็ได้รับมาเมื่อหลายปีมาแล้วแต่ยังไม่กลาเปิดปากเล่าให้ใครฟัง ถือว่าในโอกาสนี้ น่าจะเป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วที่เราจะเปิดเผยข้อมูลนี้กันสักที ซึ่งข้อมูลนี้ยืนยันชัดเจนว่า ไม่เพียงแค่ 13 เฟืองเท่านั้น แต่พวกเขา(Shimano) ได้พัฒนาระบบ 14 เฟืองเป็นเป้าหมายเอาไว้แล้วตั้งแต่เกือบ 20 ปีที่แล้ว ซึ่งไอเดียหลายๆอย่างก็แตกต่างไปจากการออกแบบชุดขับเคลื่อนในสมัยนี้อยู่บ้าง แต่มันก็สะท้อนได้เลยว่าเรื่องนี้ไม่ใช่พรมแดนที่เป็นไปไม่ได้มาตั้งนานแล้ว อยู่ที่พวกเรา นักปั่นทั้งหลาย จะพร้อมเปิดใจรับความจริงนี้กันหรือไม่ ซึ่งหากจะพูดถึงผลประโยชน์ของการพัฒนานี้ที่จะตามมานั้น เป็นที่รู้กันดีว่า จำนวนเฟืองที่มากขึ้น มีส่วนช่วยให้จักรยาน มีความสามารถในการช่วยเราได้มากยิ่งขึ้นด้วยอ่างมากมาย

 

จำนวนเฟืองที่เรียงมากขึ้นช่วยให้การไล่ระดับความหนักของอัตราทดทำได้ดีขึ้นเยอะ ทำให้โอกาสที่จะพัฒนาให้เฟืองใหญ่ขึ้นโดยไม่ก้าวกระโดดในเสือหมอบทำได้มากขึ้น และช่วยขยายอัตราทดโดยรวมของชุดเฟืองได้ในที่สุด และการมีอัตราทดที่มากขึ้นก็จะส่งผลดีต่อทั้งนักปั่นและนักกีฬาอาชีพอย่างแน่นอน ในยุคนี้ แนวคิดของความแข็งแรงที่ได้จากเฟืองเล็กแรงกดสุง แล้วขึ้นเขาได้ ถูกแทนที่ด้วยัตราทดที่ทุ่นแรงและความแกร่งของร่างกายในเชิงระบบพลังงาน ที่ช่วยให้นักปั่น นักแข่ง ไต่เขาได้เร็วและสร้างสรรค์เกมส์การแข่งขันที่เร้าใจได้มากขึ้น

 

ที่สำคัญ ในจักรยานที่มีระบบจานหน้าใบเดียว (Single Chain Ring) การมีเฟืองมากขึ้นแปลว่า พวกเขาจะมีอัตราทดมากเพียงพอกับการใช้งานทั่วไป ทั้งจักรยานในเมืองที่มีจานหน้าหนึ่งใบกับเฟืองที่ครอบคลุมตั้งแต่เนินเขา ลมแรง ไปจนถึงทางราบ ทางลาดลง หรือในกลุ่มเสือภูเขาที่ใช้ใบเดียวกันมาหลายต่อหลายปีแล้ว ที่สำคัญ อย่าลืมนะครับว่า ปีเตอร์ พูลีย์ ก็พิชิตอินทนนท์ด้วยจักรยานที่ใส่จานหน้าใบเดียวเช่นกัน เพราะเฟืองหลังที่มากขึ้น ช่วยให้เขามีเกียร์มากพอโดยไม่ต้องเพิ่มจานหน้า การมีจานหน้าใบเดียว ในอนาคตยังช่วยให้นักแข่งได้ประโยชน์จากความเรียบง่ายของระบบกลไก การลดโอกาสเกิดปัญหาทางกลไก และน่าจะเปิดโอกาสให้การพัฒนาจักรยานก้าวไปได้ไกลขึ้นอีกไม่มากก็น้อย เมื่อนักออกแบบและวิศวกรไม่ต้องคิดถึงระบบกลไกสับจานและจานหน้าแบเดิมๆอีกต่อไป

คุณล่ะ? พร้อมหรือไม่ที่จะมองไปสู่อนาคตที่ไกลกว่าปัจจุบัน แต่สิ่งหนึ่งที่เรามั่นใจและบอกได้เลยคือ ขี่จักรยานในวันนี้ กับสิ่งที่เรามีและไม่คิดมากกับการวิ่งไปของเทคโนโลยี ซึ่งจะนำพาสิ่งที่ดีมาให้เราเป็นลำดับขั้น นั่นคือความสุขที่ยั่งยืนมากแล้ว

 

July 3, 2018 cyclinghub 0 Comment