ถ้าคุณเป็นนักปั่นจักรยานสักคน คงไม่มีความฝันไหนที่ยิ่งใหญ่ไปกว่า การขึ้นมาเป็นผู้ชนะเสตจของ ตูร์ เดอ ฟร็องซ์ ให้ได้ โดยเฉพาะ การชนะเสตจนั้นเกิดจาก การร่วมกลุ่มหนีออกมาจากกลุ่มใหญ่ที่เต็มไปด้วยดาราดัง และสามารถไต่เขาขึ้นไปคว้าชัยเอาเสตจมาได้อย่างสวยงาม จากนักปั่นที่แทบจะไม่มีใครได้รู้จัก กลับกลายเป็นผู้ที่ปรากฏอยู่กลางหน้าข่าวกีฬาของหนังสือพิมพ์นับร้อยฉบับทั่วโลก ในฐานะผู้ชนะการแข่งกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกได้ในวันหนึ่ง และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น”อีกครั้ง” ในตูร์ เดอ ฟร็องซ์ ปีนี้ หลังจากเสตจแรกที่เราได้ผู้ชนะเฉือนกับดาราใหญ่ไปได้ วันนี้ บนเขา เราได้ชายหนุ่มที่เปลี่ยนชีวิตของเขาในโอกาสมหัศจรรย์ที่สุด ดีแลน ทูนส์

จากการเริ่มปั่นจักรยานตั้งแต่วัยเด็ก และได้เขาร่วมกับทีมปั้นของ บีเอ็มซีเรสซิ่งทีม เมื่อหลายปีก่อน ในที่สุด ด้วยวัย 27 ปี เขาก็ได้ย้ายมาสังกัดทีม บาห์เรน-เมอริด้า หลังจากที่ทีมบีเอ็มซีฯ ได้ยุบตัวลงไปเมื่อต้นฤดูกาลนี้ ซึ่งเส้นทางที่เขาระหกระเหินจากทีมที่ตนเองกำเนิด แยกย้ายกันออกมาหาสัญญาจ้างใหม่ จนมาตกลงที่ทีมปั่นของมหาเศรษฐีตะวันออกกลาง ร่วมกับแบรนด์รถยักษ์ใหญ่แห่งไต้หวัน ดูแล้ว แฟนๆกีฬาชาวไทยอาจไม่ได้มองทีมนี้ในสายตาเลยด้วยซ้ำ เพราะแม้แต่ดาราใหญ่ของทีมเองก็ยังไม่สามารถคืนฟอร์มอดีตแชมป์ตูร์ฯมาได้เสียที แต่ในวันนี้ ตูร์ เดอ ฟร็องซ์ เสตจที่ 6 เสตจใหญ่ที่มีเขามากมายรอบรรดานักปั่นอยู่ โดยเฉพาะเส้นชัยที่ยอดเขาสุดคลาสสิคของการแข่งจักรยาน “ลา พลานเช่ เด เบลเลส ฟิลเลส” การแข่งขันในช่วงแรกเดือดเข้มด้วยกลุ่มนักปั่นที่พยายามจะหนีออกจากกลุ่มหลักมาให้ได้ และในที่สุดก็ได้ 14 นักปั่นที่หนีออกมาเพื่อหมายไปเก็บแต้มภูเขา และอาจมีสิทธิไปไกลถึงการคว้าแชมป์เสตจได้ เพราะพวกเขารู้ว่า บรรดาทีมใหญ่ๆ ก็จะจับจ้องไม่ให้คู่แข่งสำคัญตัวเต็งๆทั้งหลายไปไม่ไกลกันมากนัก นี่คือโอกาสสำคัญ ที่พวกเขาจะได้อิสระไปจากกลุ่มใหญ่ได้โดยง่าย แต่อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป ระยะห่างจากกลุ่มนานถึงกว่า 7 นาทีในตอนกลางเสตจ ค่อยๆลดสั้นลงมาเมื่อเข้าใกล้ตีนเขาลูกสุดท้ายเข้าไปทุกที กลุ่มหนีที่มากันตลอดทาง บ้างก็ถอนกำลัง กลับไปรวมกลุ่มใหญ่ที่ไล่มาด้วยความเร็วสูง เพราะหลายคนในนั้น บรรลุเป้าหมายของตนเองแล้ว กับการเก็บและสะสมแต้มเจ้าภูเขาได้เต็มที่

สถานการณ์บีบคั้นให้กลุ่มหน้าต้องทำความเร็วทะยานขึ้นยอด ลา พลานเช่ฯ จนท้ายที่สุด เหลือนักปั่นเพียง 3 คนเท่านั้นที่สามารถไปด้วยกันได้ และ เหลือเพียง 2 คน ที่คงความเร็วไปได้ด้วยกันจนถึง 1 กม. สุดท้าย ดีแลน ทูนส์ จาก บห์เรน-เมอริ้า และ  กิวลิโอ้ ซิคโคเน่ จาก เทร็ค เซกาเฟรโด้ ดีกรีอดีตเจ้าภูเขาและเจ้าของสองเสตจจาก จิโร่ ดิตาเลีย หลายๆคนต่างเล็งกันว่า เสตจนี้ น่าจะตกเป็นของนักไต่เขาชาวอิตาเลียนคนนี้อย่างแน่นอน ทว่า ทูนส์ ก็ไม่ลดละความพยายามที่จะไปให้ถึงฝันให้สำเร็จให้ได้ ในวันนี้ วินาทีนี้ โอกาสชนะเสตจรายการแกรนด์ทัวร์ครั้งแรกในชีวิตของเขา กำลังจะเป็นจริงแล้ว โอกาสในวันนี้คือ 50:50 และคงไม่มีโอกาสที่จะใกล้ฝันได้เท่านี้ง่ายๆอีกแล้ว

ทางด้านหลัง กลุ่มใหญ่ยังคงไต่เขาขึ้นมาด้วยความเร็วสูง มีความพยายามจะหนีออกมาบ้างแต่กลุ่มถูกคุมด้วยกองทัพทีมใหญ่ที่ไม่ต้องการให้ตัวสำคัญคนไหนหลุดรอดออกมาได้ พวกเขา ไม่สนใจนักปั่นโนเนมอีก 3 คนที่อยู่เบื้องหน้า เส้นทางถนนของ ลา พลานเช่ฯ กลายเป้นเวทีที่มีเรื่องราวแทรกซ้อนกันอยู่ 2 เรื่องในเวลาเดียวกัน หนึ่งเส้นทางสู่ฝันของสองนักปั่นด้านหน้า และ อีกเรื่องราวการจับจ้อง คุมเกมส์ รุกและรับกันของนักแข่งระดับดาราของดลกหลายทีม มีเคล ลานดา จากทีมโมวี่สตาร์ หนึ่งในนักปั่นสำคัญของการแข่งขัน พยายามหนีออกจากกลุ่มใหญ่มาด้านหน้า แต่ก็ไม่สามารถเปิดระยะออกมาได้อย่างเต็มที่เพราะทีมต่างๆคุมระยะห่างและรับมือการกระชากขึ้นเขาอย่างเหนียวแน่น สลับมาที่ยอดเขา ดีแลน ทูนส์ หนีเปิดระยะห่างออกจาก ซิคโคเน่ จนได้ และกำลังโบยบินเข้าไปสู่เส้นชัยด้วยระยะห่างกัน 11 วินาที  ไต่บันไดสู่ฝันของตัวเองได้สำเร็จ และนี่คือวินาที ที่เราได้รู้จักเขาคนนี้อย่างเต็มตาเป็นครั้งแรก

1 นาที 44 วินาทีหลังจากนั้น ชายที่กำลังพุ่งเข้ามาเป็นอันดับสี่ คือหนุ่มชาวอังกฤษในชุดดำแดงเข้มร้อนแรงของทีมอินิออส แกเร็นต์ โธมัส แชมป์เก่าจากปีที่แล้ว กระชากเข้าเส้นชัยมาได้ หลังจากที่ความพยายามของ ลานดา ล้มเหลวลง บรรดาตัวเต็งทั้งหลายก็ต่างเดินเครื่องหนักเพื่อหมายทำเวลาให้ต่างกันให้ได้ และผลก็ออกมาสำเร็จ เพราะ 2 วินาทีหลังแกเร็นต์ โธมัส ตามมาดคือ ทีโบต์ ปีโน่ต์  ทีม กรูปามา-เอฟดีเจ มาพร้อมกับ จูเลียน อลาฟิลลิปป์ ผู้ครองเสื้อเหลือง ผู้นำเวลารวมในเวลานี้ ก็ทุ่มความพยายามทั้งทีมเวิร์คและของเขาเอง ป้องกันเสื้อได้อย่างยอดเยี่ยม แม้จะไม่ได้เสตจ และตามหลังแชมป์เก่ามา 2 วินาที แต่เขาก็ได้แสดงให้เห็นว่า เขาแกร่งพอที่จะปั่นไปกับดาราดังได้จริงๆ ไม่เพียงเท่านั้น เขายังทำเวลานำห่างออกจากตัวเต็งอื่นๆอีก  เพราะ ไนโร ควินทาน่า ตามหลังเขามา 5 วินาที (7 วินาทีหลัง โธมัส) และสามารถนำ ยาค็อบ ฟุกแซ็ง จากทีมอัสทาน่า และ มิเคล ลานดา จากโมวี่สตาร์ ถึง 7 วินาที (9 วินาที หลังโธมัส)

ผลของความเดือดพล่านนี้ ทำให้ในวันนี้ อันดับของผู้นำเวลารวมมีความเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะในกลุ่มตัวเต็งอยู่ไม่น้อย

กิวลิโอ้ ซิคโคเน่ จากเทร็ค เซกาเฟรโด้ คว้าอันดับสองในวันนี้แต่ขึ้นมานำเวลารวมได้สำเร็จ

จูเลียน อลาฟิลิปป์ ตกไปอยู่อันดับที่สอง ตามหลังอยู่ 6 วินาที

ดีแลน ทูนส์ ขึ้นมาอยู่อันดับที่สาม ตามหลัง ซิคโคเน่อยู่ 32 วินาที

แกเร็นต์ โธมัส แชมป์เก่า อยู่อันดับที่ 5 ตามหลังผู้นำอยู่ 49 วินาที

ทีโบต์ ปีโน่ต์ อยู่ที่อันดับที่ 7 ตามหลัง โธมัสในเวลารวมอยู่ 9 วินาที

และ ริโคเบอร์โต้ อูราน จาก อีเอฟ เอ็ดดูเคชั่นเฟิร์ส รั้งอันดับสิบ ด้วยเวลาตามหลังผู้นำ 1 นาที 15 วินาที

และเราก็ได้เห็นภาพลางๆของตัวละครสำคัญใน ตูร์ เดอ ฟร็องซ์ ปีนี้ จากเส้นทางสำคัญของ ลา พลานเช่นฯ วันนี้ เสตจที่ 7 เป็นทางราบซึ่งอาจจะไม่ส่งผลอะไรนักกับอันดับเวลารวม ระยะทาง 230 กม. และน่าจะเป็นวันสำคัญของการชิงเสื้อเขียว สิงห์สปรินท์ทางราบ เพราะ นอกจากเส้นชัยที่รออยู่ ยังมีจุดเก็บแต้มสปรินท์พอยท์ไม่ไกลก่อนถึงเส้นชัย กลุ่มหนีที่ออกไปหมายเอาเสตจนี้ ต้องรับมือกับทีมสปรินท์เตอร์ที่จะมาไล่ล่าพวกเขาอย่างหนักแน่นอน

July 12, 2019 cyclinghub 0 Comment