ช่วง 2-3 วันที่ผ่านมานี้ ในเมืองกรุงเราคงไม่มีอะไรจะฮือฮามากไปกว่าสภาพอากาศอันเลวร้าย และข่าวการตรวจพบจุดที่มีมลพิษทางอากาศสูงเกินค่าความปลอดภัยมาตรฐานจุดต่างๆโผล่มามากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเขตดินแดง และย่านใกล้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพิ่มเติมมาจากใจกลางเมืองย่านธุรกิจสำคัญ ซึ่งแน่นอนว่าเหตุที่เกิดขึ้นหลายๆท่านคงได้รับทราบข้อมุลเบื้องต้นกันมาบ้างแล้ว เราจึงขอสรุปสั้นๆแต่เพียงว่า ฝุ่นละอองต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงนี้นั้น มาจากปัจจัยแวดล้อมมากกว่า 1 อย่างมาประกอบกันพอดิบพอดีได้แก่
-สภาพความกดอากาศที่ทำให้ไม่มีกระแสลมพัดให้ฝุ่นและมลพิษต่างๆกระจายออกจากพื้นที่
-การก่อสร้างต่างๆที่ส่งผลให้รถติด ทำให้รถยนต์จอดอยู่กับที่แต่ปล่อยมลพิษออกมาเป็นเวลานาน
-ความชื้นในอากาศต่ำ ทำให้ฝุ่นละอองและมลพิษต่างๆฟุ้งตัวอยู่คลุมเมืองเอาไว้
-ปัจจัยจากนอกพื้นที่ เช่นการเผาขยะทางการเกษตรของปริมณฑล (ที่มีผลกระทบน้อยมาก)

ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า ปัจจัยหลักๆมันก็มาจาก”คนกรุง” เรานี่แหละครับ เพราะหากตัดเรื่องกระแสอากาศและความชื้นทิ้งไป มันก็คือความเป็นจริงที่เราต่างช่วยกันปล่อยเอาฝุ่นและมลพิษพวกนี้ออกมากันเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว เพียงแค่มันโดนพัดพาออกไปที่อื่น กระจายออกไปซะ แต่ช่วงนี้ กระแสอากาศนิ่ง ลมไม่แรงพอ ผสมกับสภาพตึกสูงและสิ่งปลูกสร้าง ช่วยให้กระแสอากาศเกิดความแปรปรวน วนเวียนอยู่แถวๆนี้แหละ ฝุ่น มลพิษต่างๆก็อยู่แถวๆนี้ไปด้วย เรียกว่า เหมือนปลา ถ่ายในตู้ปลาที่ระบบทำความสะอาดไม่ดี การหมุนเวียนของกระแสน้ำไม่มีประสิทธิภาพ ก็ว่ายกันไป จมกองอึตัวเองกันไป

แต่ช้าก่อนนะครับ อย่าเพิ่งตำใจไป จริงๆเรามีข้อมูลบางอย่างที่อยากนำมาเสนอตรงนี้ก่อน เพราะสิ่งหนึ่งที่พวกเราตระหนกและตกใจกันคือความมืดมัว อึมครึมของเมืองในรุ่งเช้า และภาพเหลล่านั้นถูกแชร์ออกไปมากมายบนโลกโซเชียลโดยที่ทุกคนอาจลืมไปว่า นั่นคือผลของการเกิด”หมอก” เข้ามาผสมกับสภาพฝุ่นละออง PM2.5
หมอกเหล่านั้นเกิดจากอากาศที่ร้อนระอุในตอนกลางวัน-บ่าย และเย็น จนทำให้น้ำในแหล่งน้ำต่างๆเกิดการระเหยในช่วงกลางคืน ส่งผลให้ยามเช้า ไอน้ำเหล่านั้นจะลอยตัวเอื่อยอยู่ ยิ่งพื้นที่ชุ่มน้ำมากเท่าไหร่ ยิ่งมีหมอกลงหนาตัวมากขึ้น ซึ่งหมอกเหล่านี้เองคืออนุภาคของไอน้ำขนาดใหญ่ลอยตัวต่ำ ซึ่งละอองมันใหญ่โตกว่าระดับฝุ่นละอองขนาดเล็กมากมายนัก และทำหน้าที่เป็นตัวดักจบฝุ่นละอองที่ดีเยี่ยมไปด้วย แน่นอนว่าหมอกเหล่านี้ จะมีความบริสุทธิ์ประดุจน้ำค้างยอดหญ้าที่ดื่มแล้วเสียงใสแจ๋วหรือไม่นั้น คงยากที่จะเชื่อได้ อย่างน้อยๆ มันก็”น่าจะ” มีการปนเปื้อนของฝุ่นละอองอยู่บ้างไม่มากก็น้อยแหละครับ แต่นั่นก็ถือว่าเป็นข้อดี ตัวช่วยให้ร่างกายเราปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง เนื่องจาก เมื่อหายใจเอาหมอกที่อาจมีละอองฝุ่นขนาดเล็กปนเปื้อนเข้าไป ละอองเหล่นี้จะถูกดักจับเอาไว้ด้วยกระบวนการกรองสิ่งไม่พึงประสงค์ของร่างกายเราแต่ละด่านได้อย่างง่ายดาย ส่วนมากจะติดอยู่กับเนื้อเยื่อภายในระบบทางเดินหายใจและถูกกำจัดทิ้งได้ในที่สุด ในทางกลับกัน หากไม่มีละอองน้ำเหล่านี้ เราจะสูดหายใจเอาฝุ่นละอองขนาดเล็กดังกล่าวเข้าไป พวกมันสามารถเล็ดรอดผ่านกระบวนการคัดกรองของร่างกายไปได้ และเข้าสู่ซอกหลืบของระบบทางเดินหายใจส่วนลึก อันจะก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้มากกว่าหลายเท่า

แต่กระนั้นก็จงอย่าชะล่าใจไปว่า ท้องฟ้าใสๆยามกลางวันนั้นจะไม่แลดูน่ากลัวมืดมัวหมองเหมือนรุ่งอรุณที่ผ่านมาอีกนะครับ เพราะฟ้าใสๆยางบ่ายนี่แหละที่เป็นเรื่องน่าคิดที่สุด ในยามเช้าเราได้เห็นเมืองอึมครึม มองไปได้ไม่ไกลก็พร่ามัวอยู๋ในหมู่หมอกและฝุ่นร้าย ก็ไม่ต่างจากการมีทั้งน้ำและฝุ่นมาช่วยกันบังทัศนวิสัย แต่ช่วงบ่ายและเย็นนี้แหละ ที่คุณได้เห็นท้องฟ้าใสขึ้น เพราะ ความชื้นและละอองน้ำมันหายไปหมดแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงฝุ่นที่ล่องลอยอยู่อย่างอิสระเสรี อยากโบยบินไปไหนตามลมพัดพาก็ย่อมได้ (ซึ่งในเมืองอย่างกรุงเทพ มันไม่ไปไหนไกลหรอกครับ ติดทางด่วน ติดตึก ติดบ้านช่องวนๆอยู่แถวนี้แหละ) พร้อมที่จะให้เราได้สูดเข้าไปเป็นปัญหาได้อย่างไม่ยากนัก
ดังนั้น ช่วงเวลานี้ หากท่านนักปั่น(หรือผู้ที่ชอบออกกำลังกายกลางแจ้ง)ยังรักอยากออกรอบให้ได้ความฟิต คงต้องวางแผนเวลากันให้ดีหน่อย ยามเช้าน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมกว่าตามทฤษฏีทั้งหมดที่กล่าวมา ช่วงบ่ายหรือเย็นก็น่าจะต้องระมัดระวัง เลือกใช้หน้ากากกรองฝุ่นที่มีคุณภาพมาช่วยกันบ้าง ไม่เช่นนั้นแทนที่จะได้สุขภาพดีๆก็อาจได้ของเสียเข้าไปสะสมตกค้างในร่างกายแทน (แต่การใส่หน้ากากปั่นจักรยานนั้น หากท่านปั่นหนักมากๆ จะเหนื่อยง่ายกว่าปกติเยอะ)

นิทานเรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า ทั้งหมดคือสิ่งที่พวกเราสร้างเอง ทำเองกันทั้งนั้น มลพิษ ฝุ่นละอองในอากาศนี้เกิดจากพวกเราเป็นหลัก ตอนนี้พวกเรากำลังเรียกร้องหาคนมาแก้ปัญหา ก่นด่าผู้มีความรับผิดชอบ แต่อาจจะลืมไปว่า… มันก็คือสิ่งที่พวกเราช่วยกันปล่อยเข้ามาในสังคมนี้
ช่วยกันละการใช้รถยนต์เท่าที่เป็นไปได้ เลือกใช้จักรยาน หรือเดิน ในระยะทางที่เหมาะสม มองหาขนส่งมวลชนหรือรถสาธารณะที่อย่างน้อยก็ลดปริมาณรถยนต์บนถนนลงได้
และในเร็วๆนี้ ลองเตรียมพร้อมมาทำความรู้จักและเข้าใจ “อีไบค์” กับ “อีวี” กันดูสักหน่อย เพราะนั่นคือทางออกของการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุและการอยู่ได้อย่างยั่งยืน

January 14, 2019 cyclinghub 0 Comment