หลายๆท่านอาจยังไม่ทราบว่าตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา จักรยานที่เติบโตมากที่สุด ได้แก่จักรยานไฟฟ้า หรือจักรยานที่มีระบบมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยเสริมแรงการปั่น ทดแรงช่วยให้สามารถผ่านเส้นทางไปได้ง่ายดายยิ่งขึ้น ซึ่งการเติบโตนี้ ในระยะแรกเข้าไปอยู่ในกลุ่มจักรยานเพื่อการสัญจรเป็นหลัก เอาเป็นว่า จนถึงวันนี้มีหลายๆเมืองที่คุณจะไม่สามารถมองหาจักรยานยนต์ได้อีกต่อไป เพราะบนท้องถนนเต็มไปได้จักรยานไฟฟ้า ที่ออกแรงปั่นด้วยเท้าแต่ทำความเร็วทุ่นแรง ขึ้นเนินได้อย่างสบายตัว กระทั่งในเวลาต่อมา จักรยานเพื่อการออกกำลังกายก็เริ่มหันไปในทิศทางนี้ด้วยแล้ว

 

คุณอาจจะงงใช่มั้ย ว่าจะออกกำลังกายแล้วจะเอาไฟฟ้ามาหาครกตำน้ำพริกทำไม?

คำตอบของมนคือ จักรยานพวกนี้ช่วยให้ทุกคนสามารถปั่นจักรยานไปด้วยกันได้อย่างไม่ต้องแบบ่งแยกขาแรง ขาอ่อน สามารถร่วมทริปและกิจกรรมต่างๆได้อย่างเปิดกว้างมากขึ้น เข้ามาสัมผัสกับจักรยานได้อย่างไร้ข้อจำกัดเรื่องสภาพร่างกาย โดยเริ่มจากการเขามาช่วยเสริมความสะดวกในกลุ่มเสือภูเขา และสู่เสือหมอบในเวลาไม่นาน จนกระทั่งได้รับความนิยมและการยอมรับสูงมากในยุโรป สูงขนาดที่งานปั่นใหญ่ๆทั้งหลาย ต้องเปิดให้มีประเภทจักรยานไฟฟ้ากันแล้วทีเดียว และในปีหน้า การแข่งขันจักรยานของสมาพันธ์จักรยานนานาชาติ ก็จะมีการเปิดการแข่งขันจักรยานไฟฟ้าในกลุ่มของเสือภูเขาอีกด้วย

และในวันนี้  HUB ขอนำเสนอ อุปกรณ์ไฮเท็ค เชิง Start Up จากแดนกิมจิที่น่าสนใจอย่างมาก เพราะมันคือล้อหลังฝังระบบมอเตอร์ไฟฟ้าในดุม ที่สามารถส่งกำลังช่วยคนปั่นได้อย่างฉลาดยอดเยี่ยม ระบบตรวจรับแรงบิด(ทอร์ค) ที่เกิดขึ้น เมื่อล้อพบว่าคุณกำลังปั่นขึ้นเนิน หรือต้านลม ก็จะเริ่มเปิดการทำงานของมอเตอร์ช่วยทดแรงให้โดยอัตโนมัติ และหยุดทำงานเมื่อแรงบิดกลับสู่สภาวะปกติ โดยที่ล้อนี้สามารถนำไปใช้ได้ทั้งเสือภูเขาและเสือหมอบ รองรับได้ตั้งแต่ล้อ 26 และ 27 นิ้วไปจนถึงล้อ 700c โดยมีแบทเตอรี่ซ่อนอยู่ภายในตัวล้อ ไม่มีการเชื่อมต่อใดๆเพิ่มเติมให้ยุ่งยาก เพียงแค่นำไปใส่กับจักรยานที่มี ก็จะกลายเป็นจักรยานไฟฟ้าได้ในทันที

 

ระบบมอเตอร์จะทำงานจนถึงความเร็วสุงสุด 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น ตามกฏหมายควบคุมที่แพร่หลายที่สุด เมื่อเร็วกว่านั้น คนปั่นต้องปั่นด้วยแรงของตัวเองจึงจะไปต่อได้ ดังนั้นแนวคิดนี้จึงนำมาเพื่อช่วยทุ่นแรงในการขึ้นเนินต่างๆเป็นสำคัญ (ไม่ได้เอามาให้ซิ่ง) การชาร์จไฟเต็มที่หนึ่งครั้ง มอเตอร์สามารถทำงานได้ต่อเนื่องบนระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร ซึ่งตัวแบทเตอรี่เองก็มีขนาดเล็กพอที่จะติดตัวไปได้ในกรณีที่ต้องการระยะทางที่ไกลกว่านั้น (ไต่เขากันเป็นลูกๆยาวๆเป็นร้อยกิโลเมตร) แต่ที่ระยะการทำงานเท่านี้ ทีมนักออกแบบบอกว่า มันเพียงพอที่จะใช้ปั่นต่อทริปได้สบายๆ หรือจะใช้ในการเดินทางสัญจร ก็สามารถรองรับการใช้งานได้หลายๆวัน เพราะมอเตอร์ไ่ม่ได้ทำงานตลอดเวลา

เรียกว่าเป็นผลิตภัณฑ์ฉลาดๆที่น่าสนใจ แม้ว่าอาจจะยังมีข้อจำกัดที่น่าตั้งคำถามกันอยู่บ้างเรื่องการรองรับระบบจักรยานมาตรฐานต่างๆ แต่จากที่พวกเราได้ทดสอบใช้งานมาแล้ว ยกนิ้วให้เลยว่า นี่คือนวัตกรรมที่เรียบง่ายแต่ใช้งานได้จริงแน่นอน ที่สำคัญ หากมีการนำเข้า ก็จะมีเพดานภาษีที่น่าจะน้อยกว่าจักรยานไฟฟ้าทั้งคัน ส่งผลให้มันถูกจนน่าจะเข้าถึงได้ง่ายกว่ามาก (ตราบใดที่บ้านเรายังไม่เปลี่ยนพิกัดภาษีเรื่องนี้) แต่ก็ต้องขอบอกไว้ก่อนนะจ๊ะว่า หากนำไปวิ่งบนถนนสาธารณะอาจโดนพี่ๆตำรวจจับได้ เพราะตามกฏหมาย พาหนะพวกนี้ยังอยู่ในกลุ่มสีเทาๆ จักรยานก็ไม่ใช่ พาหนะมีเครื่องยนต์ก็ไม่เชิง จดทะเบียนไม่ได้

แถมสนามปั่นจักรยานในบ้านเรา กีดกันจักรยานไฟฟ้าเสียด้วย!!

November 27, 2018 cyclinghub 0 Comment