เสือหมอบที่กาลเวลาไม่สามารถลดทอนมูลค่าของมันไปได้ นี่คือนิยามของเสือหมอบ Colnago ในซีรีส์ C ทั้งหมด ซึ่งถูกสร้างมาเพื่อสะท้อนความเป็นสุดยอดเทคโนโลยีของแต่ละช่วงการพัฒนาของพวกเขา ที่ขึ้นชื่อไล่กันมาตั้งแต่ C50 ที่ถูกกว่าขานว่านอกจากคุณสมบัติที่ครบเรื่อง ราคาก็ไม่เคยลดลงไปเลยนับตั้งแต่วันที่เปิดตัวเมื่อ 14 ปีที่แล้ว มาถึง C60 ที่ออกมาเมื่อ 4 ปีก่อน และตอนนี้ถืงเวลาของ C64 ที่มีความน่าสนใจซ่อนอยู่ข้างในมากกว่าที่แรกเห็นว่ามันคือ C60 ที่ทำการไมเนอร์เชนจ์หรืออย่างไร ในโอกาสนี้เราได้ทดสอบสัมผัสแรกกับ Colnago C64 แบบรถสำเร็จที่ประกอบมาด้วยอุปกรณ์ขั้นเทพทุกชิ้น เรียกได้ว่า นี่คือรถเสือหมอบในฝันของใครหลายๆคนอย่างแน่นอน ซึ่งผลจะออกมาเป็นอย่างไรต้องมาติดตามกัน

เฟรม Colnago C64 โดยรวมมีความคล้ายกับ C60 อยู่พอสมควร แต่ในความเป็นจริง รายละเอียดการออกแบบในส่วนสำคัญถูกเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด จากการมาของรถแข่งของพวกเขาทั้ง V2R, Concept ทำให้พวกเขาตัดสินใจใส่เอาความรู้ใหม่ๆลงมาใน C64 อย่างเต็มที่ สมกับที่มันเป็นสุดยอดรถของพวกเขาในเวลานี้ จุดแรกที่สังเกตุได้ทันทีคือช่วงท่อนั่ง หลักอาน และจุดยึดหลักอานที่เปลี่ยนไป มีความเรียบร้อยสวยสมกับสมัยใหม่มากขึ้น แต่ด้านวิศวกรรมภายใน ข้อมูลเบื้องต้นบอกว่า ทุกจุดข้อต่อ โดยเฉพาะท่อนั่งและกะโหลก มีการออกแบบเป็นชิ้นเดียวเพื่อการรับแรงที่ดีที่สุด ให้รถมีค่าความสติฟฟ์สูงที่สุดที่ Colnago เคยพยายามทำออกมา แม้ว่าตัวเฟรมจะเป็นการขึ้นรูปแบบข้อต่อ (Lugged Frame) แต่จากการออกแบบดังกล่าว ทำให้มันมีความสติฟฟ์สูงกว่าที่คาด และไม่ได้มีความเป็นรถแข่งอย่างเต็มตัวน้อยไปว่า V2R หรือ Concept ที่ถูกใช้ในการแข่งจักรยานอาชีพมาก่อน ประกอบกับ Geometry ของเฟรมที่มีความดุดันมากขึ้น ช่วยให้รถทำหน้าที่ในการแข่งขันได้อย่างดี

สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในอีกอย่างที่น่าสนใจคือระบบซับแรงขนาดเล็กในช่วงท่อคอของ C64 ที่การออกแบบทำมาเพื่อรับแรงสะเทือนขจากถนน แม้ว่าโดยทั่วไป Colnago จะนับว่าเป็นเสือหมอบที่ขี่สบายบนทุกๆสภาพเส้นทางก็ตาม การที่พวกเขาใส่เอาระบบซับแรงแบบนี้มาในท่อคอ บ่งบอกให้เห็นว่าในยุคปัจจุบันที่คำว่า”สบาย”ก้าวกระโดดไปไกลในรถสายเอ็นดูรานซ์ แต่ Colnago เองก็ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับความรู้เดิมๆของพวกเขา อันที่จริง หากมองทิศทางการเปลี่ยนแปลงของ Colnago ให้ลึกลงไป พวกเขาค่อยๆเปลี่ยนตัวเองอย่างช้าๆ แม้ว่าจะยังไม่ตกเป็นแบรนด์ของกลุ่มทุนใหญ่ที่มาซื้อกิจการดังเช่นบริษัทจักรยานรายอื่นๆที่ต้องการทุนเพื่อขยับขยายตัวเอง แต่การที่พวกเขารับเอานักออกแบบรุ่นใหม่เข้ามา ทำงานร่วมกับ Ferrari และการเข้ามามีส่วนมากขึ้นของคนจากตระกูล Colnago ในรุ่นหลาน ก็มีบทบาทเชื่อมต่อให้วิศวกรรมแบบใหม่ๆเข้ามามีส่วนในหน้าตาและทิศทางของ Colnago แม้แต่ตัวผู้สร้างแบรนด์นี้มา ก็เริ่มเปิดใจรับกับการมาของคลื่นระลอกใหม่มากกว่าเดิม ดังนั้นทั้ง V1r, V2r และ Concept ต่างก็เป็นเส้นทางที่ส่งให้ C64 เป็นสัญลักษณ์ของการผสมผสานความคลาสสิคของแนวคิดเก่า เข้ากับการมาของแนวคิดใหม่ มันคือจุดเริ่มต้นของการผสมผสาน ที่ควรค่าแก่การสะสมของแฟน Colnago อย่างแท้จริง

สิ่งที่สะดุดตาอีก 2 อย่างของ C64 ก็คือ ตะเกียบตัวใหม่ รูปทรงใหม่ที่พวกเขาบอกว่าทำให้สติฟฟ์กว่าเดิม มีน้ำหนักเบากว่าเดิม ร่วมกับเฟรมที่มีน้ำหนักราว 850 กรัม ทำให้ C64 มีน้ำหนักรวมเฟรมและตะเกียบที่เบาพอสำหรับการใช้เป็นรถไต่เขาในยุคปัจจุบัน แม้จะไม่ได้เบาหวิวแต่เทียบกับความสบายและความสามารถในการรับแรงของมัน ต้องยกนิ้วให้กับสิ่งที่ทำได้ อีกประการหนึ่งที่เราได้เห็นใน C64 คือการรองรับระบบเบรคแบบไดเร็คเมาท์ ทำให้มันรองรับยางหน้ากว้างได้ถึง 28 มิลลิเมตรสำหรับรุ่นริมเบรคธรรมดา และ 30 มิลลิเมตรในรุ่นดิสค์เบรค ซึ่งก็พบได้ไม่บ่อยที่จักรยาน Colnago จะรองรับหน้ายางกว้างขนาดนั้น และแน่นอนว่าระบบค็อกพิทที่แฮนด์และเสต็ม จะเก็บสายเรียบร้อยสะอาดตาได้ในรุ่นเบรคแบบไฮโดรลิคส์

สำหรับรถทดสอบที่เราได้มาในครั้งนี้ประกอบมากับชุดล้อสุดยอดจาก Lightweight และเบาะรุ่นท็อปสุดจาก Prologo ซึ่งก็แน่นอนว่ามันต้องมากับยอดชุดขับเคลื่อนไฟฟ้าจากค่ายอิตาลีเท่านั้น  ทำให้องค์รวมทั้งหมดของมัน เป็นรถในระดับการแข่งขันอย่างหลีกเลี่ยงไปไม่ได้เลย ไซส์ 52 จัดว่าตรงไซส์กับเราพอดีไม่ใช่มิติรถแบบลดไซส์ลงเพื่อความจัดจ้าน การทดสอบครั้งนี้ บนเส้นทางประมาณ 60 กม. ไปกับทีมแข่งของ Colnago  โดยรวมใช้สภาพเส้นทางราบ มีพื้นผิวเรียบเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีบางช่วงที่มีการสั่นสะเทือนบางๆให้เป็นโจทย์ และต้องขอบคุณทีมงานของทั้งนักแข่งและเบื้องหลัง ที่ช่วยให้เราได้สนุกกับ C64 ได้อย่างเต็มที่ในการปั่นครั้งแรกนี้

สิ่งแรกที่น่าประทับใจคือมิติรถที่ปรับได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ชักหลักอานให้เหมาะสม ปรับระยะนิดหน่อย รถก็เข้าสู่มิติที่ใช้งานได้ทันที นั่นแสดงว่าการออกแบบองศาสและระยะท่อต่างๆของ Colnago ทำมาได้อย่างลงตัวกับขนาดร่างกายโดยทั่วไป ตามส่วนตัวแล้วอาจรู้สึกว่ารถสั้นไปนิดเทียบกับช่วงแขนและลำตัวที่ยาวกว่าค่ามาตรฐานของผู้ขี่ ก็แก้ไขได้ไม่ยากด้วยการหาเสต็มยาวขค้นมาใส่หากต้องการฟิตติ้งให้ละเอียดก็จบปัญหาได้อย่างง่ายดาย เบาะ Prologo ที่ติดรถมาเลือกขนาดและรุ่นรองรับการใช้งานได้ดี เหมาะกับกระดูกอุ้งเชิงกรานที่นั่งลงไประหว่าง 110-120 นั่งได้พอดีโดยไม่มีอาการชา หลักอานแบบ +15 เหมาะสมกับสรีระคนไทย หากคุณเลือกรถได้ถูกไซส์ รับรองว่า Colnago C64 จะเซ็ทให้ลงตัวง่าย ไซส์ 52 กับส่วนสูง 175 ซม. พอดิบพอดี

สัมผัสแรกของตระกูล C ก็ยังจัดว่าเป็นรถเสือหมอบในประเภทขี่สบายมากกว่า มันอาจไม่ได้ดุดันแบบรถแข่งหลายๆตัว แม้ว่ารถจะไม่ได้จัดอยู่ในรถเอ็นดูรานซ์เพราะองศาของเฟรมดุดันในทางการแข่งขันมากขึ้นกว่าเดิม แต่มันก็ขี่ได้สบายมากอย่างไม่น่าเชื่อ เทียบกับกลุ่มเฟรมที่ไม่มีการซับแรงสะเทือนแแบบรถเอ็นดูรานซ์ยุคใหม่ๆ C64 จัดได้ว่าด้วยคุณสมับติเดิมๆของเฟรม มันปั่นสบายไร้แรงสะเทือนในมุมที่ไม่หนีรถเอ็นดูรานซ์เลยทีเดียว ในทางกลับกัน รถก็สามารถทำความเร็วได้ดีในการทดสอบมีการทำความเร็วสูงในบางช่วง ทีความเร็ว 45 -50 กม./ชม. มันก็ยังไปได้อยู่ ด้วยล้อ Lightweight ที่ติดรถมาทำให้อาจเบาไปสักนิดในการคงความเร็ว แต่การตอบสนองของรถถือว่าเป็นรถที่ขี่ได้ง่าย จนอาจจะง่ายเกินไปหากคุณต้องการความท้าทายที่ดุดันแบบม้าพยศ นี่คือรถเสือหมอบที่ให้สมรรถนะแบบการแข่งขันที่ขี่สบายและไปบนระยะทางไกลได้อย่างดี

สิ่งที่ชอบ : ขี่ง่ายขี่สบาย และทำความเร็วได้สนุก

สิ่งที่ไม่ชอบ : หากเป็นสายดุดัน ต้องการการตอบสนองแบบดิบๆ อาจไม่ถูกใจ

คำแนะนำ : เป็นรถที่เหมาะแก่การมีไว้สะสมหากคุณเป็นแฟนของ Colnago หรือต้องการเสือหมอบที่นำมาสร้างมูลค่าในอนาคตโดยที่สามารถซิ่งได้สนุกในนิยามของรถรุ่นใหม่

 

May 19, 2018 cyclinghub 0 Comment